วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทบาทพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

บทบาทหน้าที่ครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ความเป็นมาของโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มาตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๔๘-๒๕๕๐ โดยแรกเริ่มรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐บาท เพื่ออุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายถวายพระสอนธรรมในโรงเรียนที่เข้าไปสอนในสถานศึกษา ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับอาชีวะศึกษาทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประมาณ ๖๐๐ รูป ภายหลังต่อมาจากการที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ และมีการประชุมร่วมกัน พบว่ากระทรวงศึกษาธิการมีความต้องการพระสอน ฯ ไปสอนในโรงเรียนเฉพาะที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ไม่น้อยกว่า ๕๘,๐๗๓ รูป โดยเฉพาะโรงเรียนวิถีพุทธ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากกว่า ๑๐,๐๐๐ แห่ง 
ดังนั้น กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้วิเคราะห์เหตุผลความจำเป็นและบริบทที่เกี่ยวข้องทุกด้าน แล้วจึงได้มีแนวคิดว่าจะขยายพระสอนฯให้เข้าไปสอนโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของกระทรวงศึกษาธิการ ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ คือ ๑ ตำบล ต่อ ๑พระสอนฯ โดยจะขยายเพิ่มขึ้นอีก ๔,๐๐๐ รูปเป็นการนำร่อง จากนั้นได้เสนอของบประมาณกลางจากรัฐบาลเพื่ออุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายของพระสอน ฯ จำนวน ๔,๐๐๐ รูป รูปละ ๒,๐๐๐ บาทต่อเดือน และเป็นค่าดำเนินการจัดทำหนังสือ อุปกรณ์เกี่ยวกับการเรียนการสอน การติดตามประเมินผลโครงการเพื่อให้สาธารณชนทั่วประเทศเห็นความสำคัญของพระสงฆ์ โดยมุ่งเน้นประโยชน์ที่จะได้รับ คือ ผู้เรียนได้แก่ เด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนพระสอนฯให้มากขึ้นเป็น ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ รูป เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ตามเป้าหมาย
ในปีงบประมาณ ๒๕๕๑ กรมการศาสนาได้เปลี่ยนบทบาทการบริหารโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนที่ดำเนินการมาแต่เดิมไปสนับสนุนกิจกรรมคุณธรรมอื่นๆ โดยได้โอนภาระงานพร้อมงบประมาณให้กระทรวงศึกษาธิการรับดำเนินการ และได้มอบให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยรับโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มาดำเนินการจัดเข้าในพันธกิจประเภทงานให้บริการวิชาการแก่ชุมชน โดยได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๕ หน่วยงาน ดังนี้ 
๑. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย มีพระสงฆ์ที่มีความพร้อมและมีพระที่สอนอยู่ในสถานศึกษาต่าง ๆ อยู่แล้ว 
๒. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ มีศึกษานิเทศก์และสถานศึกษา/โรงเรียนที่มีความต้องการพระสอนฯ 
๓. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีวัฒนธรรมจังหวัดซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการ ฯ มาแต่เริ่มแรก๔. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีผู้อำนวยการพระพุทธศาสนาจังหวัดเป็นผู้ส่งเสริมพระสอนฯ ที่เข้าไปทำการสอนในโรงเรียน
๕. ภาคคณะสงฆ์ทั้ง ๑๘ ภาค มีเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดซึ่งปกครองดูแลพระสอน ฯ ทั่วประเทศ(โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มจร. ,๒๕๕๖.(ออนไลน์))

กระบวนการบริหารจัดการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อได้รับมอบโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนพร้อมทั้งงบประมาณมาแล้ว เพื่อให้การดำเนินงานโครงการพระสอนฯ มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์อันพึงประสงค์คือนักเรียนได้รับการปลูกฝังในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมจากพระสอน ฯ โดยตรง และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ได้รับ จึงได้เตรียมแผนปฏิบัติการรองรับการดำเนินการโครงการ ฯ อย่างเป็นระบบ และได้ดำเนินการประสานงานกับคณะสงฆ์ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้มีการประชาสัมพันธ์โครงการ ฯ และจัดอบรมถวายความรู้เพิ่มประสิทธิภาพพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างศักยภาพในการทำงานให้เป็นที่ยอมรับของสถานศึกษา และเพื่อปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนักเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องพร้อมกับมีความประพฤติที่ดีงาม โดยได้จัดแผนการดำเนินการโครงการซึ่งมีกระบวนการบริหารโครงการดังนี้
๑. จัดประชุมคณะกรรมการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๒. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ/อำนวยการโครงกาพระสอน ฯ ทั่วประเทศ
๓. การปฐมนิเทศพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนทั่วประเทศ
๔. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเข้มข้นวิทยากรแกนนำโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๕. การอบรมพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๖. การจัดทำคู่มือ หนังสือการจัดสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๔๔ และพัฒนาเว็บไซต์โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๗. การวิจัย
๘. การนิเทศ การติดตามประเมินผล
๙. การจัดถวายค่าตอบแทน

๑๐. การรับสมัคร/การคัดเลือกพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนทั่วประเทศ(สำนักงานโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มจร. ๒๕๕๖.(ออนไลน์))

บทบาท

ความหมายของบทบาท

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน(๒๕๒๖:๔๕๙) ได้ให้ความหมายคำว่า บทบาท ไว้ว่า หมายถึง การทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งก็มีผู้ให้ความหมายได้หลายความหมายด้วยกันดังนี้
พัทยา สายหู (๒๕๒๙:๕๖) ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า บทบาทคือ ขอบเขตอำนาจหน้าที่และสิทธิในการกระทำตามบทของแต่ละงานที่เรามีต่อผู้อื่นโดยสังคมเป็นตัวกำหนดไว้ด้วยวิธีการต่างๆ ที่ไม่ใช่เฉพาะกฎหมายหรือข้อบังคับเท่านั้น แต่อาศัยความต้องการและการยอมรับร่วมกันในหมู่ผู้เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นบทบาทอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลาหรือผู้ร่วมปรารถนาของผู้ร่วมใช้บทบาท
งามพิศ สัตย์สงวน (๒๕๒๖:๑๕) ให้ความหมายของบทบาทไว้ว่า บทบาทคือ พฤติกรรมที่คาดหวังสำหรับผู้อยู่ในสถานภาพต่างๆ ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร เป็นบทบาทที่คาดหวังโดยกลุ่มคนหรือสังคม เพื่อทำให้คู่สัมพันธ์มีการกระทำระหว่างกันทางสังคมได้รวมทั้งสามารถคาดการณ์พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นได้
สุพัตรา สุภาพ (๒๕๓๔:) ได้ให้ความหมายของคำว่าบทบาทว่า คือ การปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของสถานภาพบุคคล
อุทัย หิรัญโต (๒๕๑๙:๑๒๐) ได้ให้ความหมายไว้ว่า บทบาทเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือการแสดงออกของคนซึ่งคนอื่นคาดคิดหรือหวังว่าเขาจะทำ ซึ่งบทบาทแต่ละคนอาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางด้านจิตวิทยาอันได้แก่ ความคิดเห็นหรือทัศนคติส่วนบุคคลและปัจจัยทางสังคมได้แก่ ตำแหน่ง หน้าที่และสถานภาพของบุคคล ที่ประกอบด้วยความคาดหวังต่างๆ จากสังคม
ดังนั้น สรุปได้ว่า บทบาทตามความหมายของนักวิชาการ คือ สิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่ถูกกำหนดหรือคาดหวังจากคนในสังคม อาจเป็นไปในรูปแบบของกฎหมายค่านิยม ประเพณี เป็นต้น ซึ่งตัวบทบาทจะเป็นตัวที่กำหนดหน้าที่ของบุคคลตามบทบาทที่ตนเองได้กำหนดไว้ เช่น พระสงฆ์ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และสั่งสอนพุทธศาสนิกชนให้ปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นคนดีของสังคมไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม เป็นต้น

ประเภทของบทบาท

สงวนศรี  วิรัชชัย(อ้างในพระมหาวิเชียร ขันทองดี, ๒๕๔๗:๑๓) ได้สรุปประเภทของบทบาทไว้ ๕ ประการคือ
. บทบาทตามกำหนด หมายถึง บทบาทที่สังคม กลุ่มหรือองค์กรกำหนดไว้ว่า เป็นรูปแบบพฤติกรรมประจำตำแหน่งต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคม กลุ่มหรือองค์กร

. บทบาทที่ผู้อื่นคาดหวัง หมายถึง บทบาทหรือรูปแบบพฤติกรรมที่คนอื่นๆ คาดหวังว่าผู้อยู่ตำแหน่งจะถือปฏิบัติ
. บทบาทตามความคิดของผู้อยู่ในตำแหน่ง หมายถึง รูปแบบพฤติกรรมที่คนอยู่ในตำแหน่งคิดเชื่อว่าเป็นบทบาทในตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่
. บทบาทที่ปฏิบัติจริง หมายถึง พฤติกรรมที่ผู้อยู่ในตำแหน่งได้ปฏิบัติหน้าที่แสดงออกมาให้เห็นซึ่งมักจะเป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับบทบาทตามความคิดของเจ้าตัวผู้อยู่ในตำแหน่งแต่อาจมีกรณีที่บุคคลแสดงพฤติกรรมคาดหวังผู้อื่นทั้งๆ ที่บทบาทนั้นไม่ตรงกับบทบาทตามความคิดของตน
. บทบาทที่ผู้อื่นรับรู้ หมายถึง รูปแบบพฤติกรรมที่ผู้อื่นได้รับทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติบทบาทของผู้อยู่ในตำแหน่งซึ่งโดยธรรมชาติการรับรู้ของคนเรามักจะมีการเลือกรับรู้ และมีการรับรู้ที่ผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ด้วยอิทธิพลจากประสบการณ์หลายอย่าง ดังนั้นเมื่อผู้อยู่ในตำแหน่งปฏิบัติบทบาทโดยแสดงพฤติกรรมอย่างหนึ่ง ผู้ที่ได้พบเห็นอาจรับรู้พฤติกรรมหรือบทบาทนั้นในทางที่แตกต่างกันและอาจแตกต่างไปจากบทบาทตามความคิดของผู้อยู่ในตำแหน่งด้วย
โดยสรุปแล้ว บทบาทตามความเป็นจริงคือบทบาทที่ผู้ปฏิบัติได้กระทำจริงอาจตรงกับความคาดหวังหรือไม่ก็ได้และบทบาทตามความคาดหวัง ซึ่งอาจเป็นบทบาทที่คนอื่นรับรู้หรือตามความคิดแต่อาจไม่สามารถปฏิบัติได้หรือไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์

ทฤษฎีที่เกี่ยวกับบทบาท

ทฤษฎีบทบาท (Role Theory)

ทฤษฎีบทบาท (Role Theory) เป็นปรัชญาที่ได้กำหนดให้คนในสังคมล้วนมีตำแหน่งทั้งสิ้นดังนี้ ประพันธ์ อำพันประสิทธิ์ (๒๕๒๙) ได้กล่าวถึงทฤษฎีบทบาทไว้ว่า ทฤษฎีบทบาท ได้กำหนดปรัชญาที่น่าสนใจไว้ว่า ชีวิตสังคมถูกสร้างขึ้นมา และคนแต่ละคนในสังคมล้วนมีตำแหน่งทางสังคมทั้งสิ้น เช่น ในฐานะลูกน้อง คู่ครอง พ่อแม่ หัวหน้าและลูกน้อง เป็นต้น ในฐานะที่สังคมได้กำหนดบทบาทเพื่อปัจเจกชนแต่ละคนจะได้ปฏิบัติให้สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคมที่วางไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบที่เป็นบทบาทผู้กระทำ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้โดยบทบาทที่เป็นตัวแบบ ได้ชี้ถึงวิถีทางเพื่อกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ถูกต้อง ซึ่งบิดเดิล (Biddle) ได้กล่าวถึงทฤษฎีบทบาทว่ามีลักษณะสำคัญ ๕ ประเด็นดังนี้
๑. ทฤษฎีว่าด้วยบทบาทในการทำงาน (Functional Role Theory) ทฤษฎีนี้มุ่งต่อบทบาทหรือพฤติกรรม อันเป็นลักษณะของบุคคลผู้ที่มีตำแหน่งทางสังคมภายในระบบสังคมที่มั่นคง
๒. ทฤษฎีบทบาทที่เป็นปฏิสัมพันธ์สัญลักษณ์ (Symbolic Interaction Role Theory) ทฤษฎีนี้มุ่งไปที่บทบาทของผู้กระทำแต่ละคนวิวัฒนาการของบทบาทต่าง ๆ โดยอาศัยปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและวิธีการที่ผู้กระทำทางสังคมเข้าใจ โดยตีความหมายของพฤติกรรมเหล่านั้น
๓. ทฤษฎีบทบาทโครงสร้าง (Structural Role Theory) ทฤษฎีนี้มุ่งต่อโครงสร้างทางสังคมหรือตำแหน่งโครงสร้างทางสังคมที่ได้แบ่งพฤติกรรมที่กำหนดไว้เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งมุ่งต่อตำแหน่งทางสังคมอื่น ๆ ในโครงสร้าง
. ทฤษฎีบทบทบาทขององค์กร (Organization Role Theory) ทฤษฎีนี้มุ่งต่อบทบาทต่าง ๆที่มาด้วยกันกับตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม ที่ยึดถือเป็นอันเดียวในระบบสังคมที่วางไว้ก่อนเป็นระบบที่มุ่งงาน และมีการจัดลำดับชั้นไว้เป็นอย่างดี
. ทฤษฎีว่าด้วยบทบาทของความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Role Theory) ทฤษฎีนี้มุ่งถึงความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทที่คาดหวังกับพฤติกรรม

บทบาทพระสงฆ์

พระสงฆ์ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน ชีวิตของพุทธศาสนิกชนผูกพันกับพระสงฆ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนิกชนในสังคมกับพระสงฆ์จึงไม่สามารถแยกจากกันได้ ทั้งนี้เพราะต่างต้องอาศัยซึ่งกันและกันตลอดเวลา ดังนั้นพระสงฆ์จึงมีบทบาทด้านต่าง ๆ เพื่อเกื้อกูลต่อชุมชนดังนี้

บทบาทพระสงฆ์ด้านการศึกษา
ตั้งแต่อดีต วัดกับวังได้ร่วมมือกันให้การศึกษาแก่ประชาชนมาโดยตลอด จนถึงการศึกษาแผน
ใหม่ในสมัยรัชการที่ ๕ วัดและคณะสงฆ์ยังคงให้ความร่วมมือในการจัดการศึกษาของชาติอยู่ โดยเฉพาะในระดับมูลศึกษาและประถมศึกษา ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ การศึกษาระบบวัด กับการศึกษาระบบใหม่ถึงแยกจากกันอย่างเด็ดขาด หน้าที่ทางการศึกษาโดยตรงของพระสงฆ์ จึงจำกัดอยู่แต่ในวัดและประชาชนในวงแคบเท่านั้น จากความสำคัญของวัดและพุทธศาสนาในอดีต ทำให้เกิดประเพณีที่สำคัญที่พระพุทธศาสนาไปเกี่ยวข้องกับการศึกษามาจนถึงปัจจุบัน (พระราชวรมุนี. ๒๕๒๙: ๒-๓)
๑. ประเพณีวัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาเล่าเรียนของชุมชน และพระสงฆ์เป็นครูผู้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอน ชาวกรุงและชาวเมืองในปัจจุบันอาจมองไม่ค่อยเห็น แต่สำหรับชาวบ้านในชนบทห่างไกลยังพอมองเห็น แม้ไม่เป็นศูนย์กลางเหมือนแต่ก่อน ก็พอเป็นช่องทางหรือที่พึ่งแหล่งสุดท้าย
๒. ประเพณีบวชเรียน ซึ่งมีความหมายว่าบวชคู่กับเรียน เมื่อบวชแล้วต้องเรียนหรือบวชก็เพื่อเรียน
ในปัจจุบันบทบาทของพระสงฆ์ในการศึกษา สามารถแบ่งได้ดังนี้(กฤษฎา นันทเพช.๒๕๔๐: ๑๒)
๑. ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์
๒. โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์
๓. ธรรมศึกษา
๔. ครูสอนศีลธรรมในโรงเรียน หรือพระธรรมวิทยากร
๕. การศึกษาพระปริยัติธรรม
๖. การจัดการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์

บทบาทพระสงฆ์ด้านการเผยแผ่ธรรม

ในอดีตการเผยแผ่ธรรมของพระสงฆ์จำกัดอยู่เฉพาะในขอบเขตของวัดและชาวบ้านตามประเพณีและโอกาสอันสมควร เช่น การเทศนาสั่งสอนชาวบ้านในวันพระหรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การเทศน์ในงานบุญพิธีหรืองานบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ เช่น งานทำบุญบ้าน งานศพ เป็นต้น ในปัจจุบันที่การสื่อสารมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น พระสงฆ์สามารถดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างกว้างขวาง และเข้าถึงประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งบทบาทของพระสงฆ์ในการเผยแผ่ธรรมสามารถแบ่งได้ ๓ ประการใหญ่ ๆ คือ
๑. พระธรรมจาริก พระสงฆ์ไทยที่เสียสละเวลาและสมัครใจเดินทางไปปฏิบัติงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ชาวเขาในท้องที่จังหวัดต่าง ๆ ที่มีชาวเขาอาศัยอยู่ ทำให้ชาวเขาแต่ละเผ่าหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แสดงตนเป็นพุทธมามกะ และส่งบุตรหลานเข้าบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก และได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ทั้งฝ่ายปริยัติธรรมและสามัญศึกษาและได้เดินทางเข้าไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามภูมิลำเนาเดิมอันเป็นเผ่าเดิมของตนต่อไป
๒. พระธรรมทูต พระธรรมทูตคือพระภิกษุ สามเณรที่มีความรู้ในทางพระพุทธศาสนาพอสมควรที่จะดำเนินการเผยแผ่ได้ แล้วเสียสละไปพบกับประชาชนในถิ่นต่าง ๆ เพื่อหาทางโน้มน้าวประชาชนให้เกิดความสนใจเลื่อมใสในคุณค่าแห่งศีลธรรมและพระพุทธศาสนา
. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยทั่วไป
.๑ การเทศน์ หรือการบรรยายธรรมในโอกาสต่าง ๆ เช่น ในวันธรรมสวนะ (วันพระ) งานศพ วันอาทิตย์ หรือตามที่ได้รับนิมนต์ไปในสถานที่ต่าง ๆ เนื่องในวันสำคัญต่าง ๆ
.๒ การเผยแผ่โดยผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เป็นต้น
.๓ อื่น ๆ หมายถึง การเผยแผ่ที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น พัฒนาหรือสงเคราะห์ด้านวัตถุ แล้วโน้มให้หันเข้าธรรมะ

บทบาทพระสงฆ์ด้านสังคมสงเคราะห์

สุทธิพงษ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ (อ้างถึง วินัย เก่งสุวรรณ. ๒๕๔๑: ๒๒) ได้กล่าวว่าหน้าที่ทางสังคมสงเคราะห์ของพระสงฆ์เกิดจากองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ
. การดำเนินชีวิตของพระสงฆ์ต้องเกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ในเรื่องปัจจัย ๔
. สภาวะและเหตุการณ์ในสังคมเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
. คุณธรรม เมตตาธรรม กรุณาธรรมของพระสงฆ์ที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์

ในขณะเดียวกันได้กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ทางสังคมสงเคราะห์ที่ทำได้ดีที่สุด คือ บทบาททางด้านการศึกษา การสาธารณสุข การพัฒนาจิตใจประชาชน การสงเคราะห์ทางจิต และการพัฒนาท้องถิ่น
. บทบาทด้านการศึกษา วัดให้สถานที่เป็นโรงเรียนและอาคารเรียน พระเป็นผู้สอนและอบรมเยาวชนให้รู้หนังสือ ให้เป็นผู้มีศีลธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม อนุเคราะห์การจัดตั้งโรงเรียนสอนเด็กก่อนวัยเรียน ชักชวนชาวบ้านให้สนับสนุนด้วยทุนการศึกษาและอุปกรณ์การเรียน
. บทบาทด้านการสาธารณสุข พระสงฆ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันให้การรักษาพยาบาลแก่ชาวบ้านในทุกระดับความเจ็บป่วย โรคบางชนิดหายด้วยแรงศรัทธาที่ผู้ป่วยมีต่อพระสงฆ์
. บทบาทด้านการพัฒนาจิตใจของประชาชน พระสงฆ์ให้ธรรมทานแก่ประชาชน จิตใจที่พัฒนาแล้วจะไม่วุ่นวาย จะเข้าใจในความหมายของคำว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมนอกจากนี้การสอนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็สามารถช่วยให้เกิดความสุขสงบทางจิตใจได้มาก
. บทบาทด้านการสงเคราะห์ทางจิต ด้านนี้พระสงฆ์มีบทบาทในด้านการช่วยบรรเทาปัญหาและมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตของประชาชนได้มาก งานสังคมสงเคราะห์ที่พระสงฆ์จะทำได้โดยตรง คือ งานสังคมสงเคราะห์ทางจิตใจเป็นหลัก
. บทบาทด้านการพัฒนาท้องถิ่น ในชนบทพระสงฆ์มีบทบาทมากในฐานะผู้นำด้านการเสนอความคิดริเริ่ม และระดมความร่วมมือของชาวบ้านในการพัฒนาต่าง ๆ

บทบาทพระสงฆ์ด้านการพัฒนาจิตใจ

หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาชี้ชัดว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จได้เพราะใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องพัฒนาจิตใจที่ฝึกดีแล้วจะทำให้มีการพัฒนาภายนอกด้วย การพัฒนาจิตใจตามทัศนะของพระพุทธศาสนาเรียกว่า ภาวนา หรือ กรรมฐาน มี ๒ ประการคือ สมถภาวนา คือ ทำจิตใจให้สงบ และวิปัสสนาภาวนา คือ ทำให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง

บทบาทพระสงฆ์ด้านสืบสานวัฒนธรรม

วัฒนธรรม คือ วิถีชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และถ่ายทอดกันมาจากบรรพชน สู่อนุชนรุ่นหลัง วัฒนธรรมแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้ (สมคิด โชติกวณิชย์. ๒๕๓๙: ๑๖๘-๑๗๐)
๑. ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ เช่น ปราสาท ราชวัง วัดป้อม ค่าย กำแพง และลักษณะที่เห็นรูปทรงไม่ชัดเจน เช่น คูน้ำ คันดิน ถนนโบราณ เนินดินที่ปกคลุมเจดีย์ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
๒. ศิลปวัฒนธรรมประเภทงานจิตรกรรม ส่วนใหญ่จะมีอยู่ในวัด
๓. ศิลปวัฒนธรรมประเภทงานศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน
๔. ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม เช่น ความคิด อุดมการณ์ ประเพณี ความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ

บทบาทพระสงฆ์ด้านส่งเสริมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ด้วยหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องธรรมชาติ กฎของธรรมชาติการปฏิบัติตามกฎระเบียบของธรรมชาติ และผลที่ได้จากการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ มนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงปรากฏหลักธรรมมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติแวดล้อมที่มนุษย์ต้องอาศัยในการดำรงชีวิต

บทบาทที่พึงประสงค์ของพระสงฆ์

จากการเสวนาเรื่องบทบาทที่พึงประสงค์ของวัดและพระสงฆ์กับการพัฒนาสังคมไทย ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ..๒๕๔๓ พบว่า บทบาทที่พึงประสงค์ของพระสงฆ์บางประการดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กลุ่มงานศาสนา.๒๕๔๓: Online)
. พระสงฆ์ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านศีลธรรม จรรยา เพื่อปลูกศรัทธาให้เกิดขึ้นกับประชาชนในท้องถิ่น
. พระสงฆ์ควรพัฒนาตนให้รอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมเพื่อรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม อันจะส่งผลต่อศักยภาพในการอบรมพัฒนาจิต การเผยแผ่ศาสนธรรมแก่พุทธศาสนิกชน
. พระสงฆ์ควรเป็นผู้ให้คำสอนและหลักศาสนธรรมทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยตรงคือ เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่พุทธศาสนิกชน และโดยทางอ้อม คือ การครองตนตามหลักธรรมวินัย ซึ่งจะก่อศรัทธาแก่คนทั่วไป และการให้การอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการอบรมพัฒนาจิตและหลักปริยัติทางศาสนาแก่คณาจารย์และวิทยากรผู้ให้การอบรมแก่เยาวชนอีกส่วนหนึ่ง
. พระสงฆ์ควรมีบทบาทเชิงรุกในการสั่งสอนเยาวชน ด้านศีลธรรม เช่น เป็นวิทยากรอบรมในสถานศึกษา หรือจัดโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ นำพุทธศาสนิกชนและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอบรมศาสนธรรม ซึ่งอาจทำโดยวัด กลุ่มบุคคลโดยมีวัดเป็นแกนนำ กลุ่มพระสงฆ์และสื่อมวลชน เป็นต้น

บทบาทของครูสอนศีลธรรม
คณะกรรมการจัดการทำสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนาได้ระบุถึงบทบาทของครูสอนศีลธรรมไว้โดยสรุปว่า
คณะกรรมการจัดการทำสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนาได้ระบุถึงบทบาทของครูสอนศีลธรรมไว้โดยสรุปว่า
ครูควรมีการสำรวจประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนว่าผู้เรียนแต่ละคน จะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรต้องให้โอกาสกับผู้เรียนได้ใช้กระบวนการ สืบเสาะแสวงหาความรู้ที่ตนค้นพบด้วยตนเอง
. ครูควรใช้การบูรณาการ ซึ่งเป็นการนำกระบวนการที่ต่อเนื่องจาก ขั้นตอนการสำรวจประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน อันรวมไปถึงสถานการณ์เงื่อนไขการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมจะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เป็นการบูรณาการความรู้ใหม่กับความรู้เก่า
. ครูจะต้องมีวิธีการถ่ายโยงความรู้เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถแสดง พฤติกรรมทั้งด้านความรู้ ความคิด ทักษะ เจตคติและค่านิยมเพื่อการประยุกติใช้ในการแสวงหา ความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้นั้นผู้เรียนมีโอกาสได้ปฏิบัติจริง
. ครูควรจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความต้องการความสนใจและ ความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน โดยมีความเชื่อว่าผู้เรียนทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ สูงสุดตามศักยภาพ
. ครูต้องเป็นผู้เอื้ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนผ่าน กระบวนการเรียนรู้แล้วผู้เรียนควรจะต้องปรับพฤติกรรมจากความไม่รู้ เป็นผู้รู้และรู้จริงจากทำ ไม่ได้ทำไม่เป็นเปลี่ยนมาเป็น ทำได้ ทำเป็น จากไม่ชอบเปลี่ยนมาเป็นชอบ
. ครูต้องยึดหลักการที่ว่า การจัดการเรียนรู้ที่ดีจะต้องมีกิจกรรมที่ สามารถพัฒนาศักยภาพทุกด้านคือ ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม ครูต้องมองผู้เรียนว่ามีภูมิ ธรรมอยู่ในระดับหนึ่ง
. ครูต้องทบทวนบทบาทของตนเองใหม่ว่าตนคือผู้ให้องค์คุณของ กัลยาณมิตร ๖ ประการ
) วางตนในฐานะผู้ที่ศิษย์ไว้วางใจ
) วางตนให้น่าเคารพ
) วางตนในฐานะผู้ทรงความรู้
) วางตนในฐานะที่ปรึกษาที่ดี
) วางตนในฐานะผู้ฟังทีดี ฟังทั้งคำพูดและความรู้สึกของศิษย์วาง ตนในฐานเป็นผู้ทรงปัญญาสามารถอธิบายอย่างลึกซั้งให้ศิษย์กระจ่างได้
) วางตนในฐานะเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นแบบในการประพฤติ ปฏิบัติ
. ครูต้องรู้จักเด็กเป็นรายกลุ่ม รายบุคคลและมองว่าว่าผู้เรียนทุกคนมี โอกาสที่จะเป็นอัจฉริยะย่างน้อย ๘ ด้าน คือ ด้านเหตุผล ภาษา ศิลปะ กายสัมผัส ดนตรี มนุษย์ สัมพันธ์ การเข้าใจตนเองหรือเข้าใจชีวิตเข้าใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือที่เรียกว่าอัจฉริยภาพ ในเชิงพหุปัญญา
. ครูต้องพร้อมให้ความรัก และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แก่ลูกศิษย์ ครูจึงต้องเปลี่ยนหน้าที่จากผู้สอนเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ ให้เอื้อต่อการพัฒนาไปสู่อัจฉริยภาพ ทั้ง ๘ ด้านของเด็กแต่ละคน
. การจัดการเรียนการสอนหรือการจัดการเรียนรู้ครูต้องเน้นและให้ ความสำคัญกับผู้เรียนควยคู่ไปกับธรรมชาติของวิชา ครูจะต้องรู้ใจนักเรียน ให้นักเรียนรู้ทั้งหลักการ วิธีการเรียนรู้ และคุณธรรมที่จะเกิดตามธรรมชาติของวิชา
๑๐. ครูควรจัดประสบการณ์และกิจกรรมที่ใช้คุณธรรมนำความรู้บูรณาการ คุณธรรมในการจัดประสบการณ์ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และทุกขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้
โดยสรุปแล้ว ครูมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นผู้ออกแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเอื้ออำนวย ความสะดวกให้ผู้เรียนเป็นผู้แสวงหาความรู้และพัฒนาตนเองในบรรยากาศและสถานการณ์ที่ครูจัดให้ ผู้เรียนได้คิดเอง ปฏิบัติเอง และนำไปสู่การสร้างความรู้ด้วยตนเองอย่างพึงพอใจ การรู้จักผู้เรียนเป็น รายบุคคลหรือรายกลุ่มจะช่วยให้ครูมีข้อมูลที่สำคัญในการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนที่ เหมาะสม สนองตอบความต้องการ ความถนัด ความสนใจและวิธีการหรือลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ละคนและบทบาทสำคัญยิ่ง คือ ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้าน(พระมหาปัญญา จอมนาสวน. ๒๕๔๙.)

บทบาทของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๑. เป็นผู้สอนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน โดยมีคาบสอนอย่างน้อย ๒ คาบต่อสัปดาห์แต่ไม่เกิน ๕/คาบต่อสัปดาห์
๒. เป็นผู้สอนหลักสูตรธรรมศึกษาชั้นตรี โท เอก เพื่อปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ในหลักธรรม
๓. เป็นผู้สอนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักธรรมทางศาสนาเพื่อปลูกฟังคุณธรรมจริยธรรมส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ในหลักธรรม
๔. เป็นผู้จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อปลูกฝังคุณธรรมตามหลักธรรมทางศาสนาเพื่อปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
๕. เป็นผู้จัดกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา และเป็นผู้นำนักเรียน ครู ผู้ปกครองเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา
๖. เป็นครูผู้สอนประจำโครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
๗. เป็นผู้อบรมและเป็นกรรมการคุมสอบหลักสูตรธรรมศึกษาในเรือนจำและสถานพินิจฯ
๘. เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์และบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์แก่โรงเรียนและชุมชน

ระเบียบปฏิบัติหรือหน้าที่ของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๑. พระสอนศีลธรรมที่เข้าสอนในสถานศึกษาตามโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในส่วนศูนย์อำนวยการวิทยาเขต/วิทยาลัยสงฆ์/หน่วยวิทยบริหาร ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนประจำศูนย์อำนวยการในที่นั้นๆ
๒. พระสอนศีลธรรมต้องสอนให้ตรงตามหลักพระไตรปิฎก
๓. พระสอนศีลธรรมต้องมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย
๔. พระสอนศีลธรรมต้องนุ่งห่มให้เรียบร้อยเป็นปริมณฑล ทั้งในเวลาเดินทางไปสอน ในขณะสอนและในเวลาเดินทางกลับวัด
๕. พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ห้ามนำซองผ้าป่า กฐิน หรือบอกบุญเรี่ยไรในโรงเรียน
๖. พระสอนศีลธรรมไม่ควรคลุกคลีหรือสนิทสนมกับคณะผู้บริหาร ครู อาจารย์ในโรงเรียนนั้นๆมากเกินไป จนทำให้ทุกฝ่ายสูญเสียความเป็นกลาง
๗. พระสอนศีลธรรมต้องไม่ก้าวก่ายงานของคณะครูอาจารย์ หรือผู้บริหารของโรงเรียนนั้นๆ
๘. พระสอนศีลธรรม ต้องไม่นำวิชาโหราศาสตร์ หรือ ไสยศาสตร์ไปชี้นำหรือขยายผลอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการมอมเมาเยาวชน และประชาชน
๙. พระสอนศีลธรรมต้องไม่ชี้นำให้นักเรียนไปเที่ยวหรือเยี่ยมเยือนที่วัดตามลำพังหรือเป็นการเฉพาะยกเว้นแต่เป็นการทำกิจกรรมกลุ่ม เป็นคณะ หรือไปทั้งห้องเรียน
๑๐. ในการเข้าห้องเรียนให้หัวหน้าบอกทำความเคารพ ดังนี้
๑๐.๑ ถ้าอยู่ในห้องเรียนให้หัวหน้าบอกทำความเคารพ โดยดูความเหมาะสมและระเบียบที่โรงเรียนนั้นๆปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว
๑๐.๒ ถ้าอยู่ในห้องจริยะให้นักเรียนกราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง ทั้งตอนเข้าเรียนและเลิกเรียน(โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มจร. ,๒๕๕๖.(ออนไลน์))

โครงสร้างการบริหาร
โครงสร้างการบริหารโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม

คณะกรรมการอำนวยการ
โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
(ส่วนกลาง)

คณะกรรมการอำนวยการ
โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
(ส่วนวิทยาเขตนครศรีธรรมราช)


คณะกรรมการอำนวยการ
โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
(ส่วนห้องเรียนสุราษฎร์ธานี)




คณะกรรมการศูนย์ประสานงาน
พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี

คณะกรรมการศูนย์ประสานงาน
พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
จังหวัดชุมพร

 บทบาทหน้าที่ของผู้สนับสนุนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

เพื่อให้การดำเนินงานโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนบรรลุผลตามวัตถุประสงค์จึงกำหนดบทบาทผู้สนับสนุนพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนดังนี้

๑. เจ้าคณะจังหวัด

๑.๑ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมการปฏิบัติงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนประจำจังหวัดฝ่ายสงฆ์
๑.๒ เป็นที่ปรึกษาส่งเสริมสนับสนุนพระให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๑.๓ เป็นประธานกรรมการในการรับสมัครและคัดเลือกพระสอนศีลธรรม
๑.๔ ประกาศผลการคัดเลือกพระสอนศีลธรรม
๑.๕ แต่งตั้งพระปฏิบัติหน้าที่สอนในโรงเรียน
๑.๖ ติดตามการปฏิบัติหน้าที่การสอนพระสอนศีลธรรม เมื่อพระสอนศีลธรรมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การสอนได้ ให้พิจารณารับสมัคร และคัดเลือกพระปฏิบัติหน้าที่การสอนแทน ให้เป็นไปตามจำนวนที่กำหนด
๑.๗ รับรายงานผลการดำเนินงาน การประเมินโครงการ และร่วมแก้ไขปัญหาของพระสอนศีลธรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

๒. ผู้ว่าราชการจังหวัด

๒.๑ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมการปฏิบัติงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนประจำจังหวัดฝ่ายฆราวาส
๒.๒ เป็นที่ปรึกษา ส่งเสริมสนับสนุนให้โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
๒.๓ รับรายงานผลการดำเนินงาน การประเมินโครงการ และให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ การดำเนินงานตามโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ให้พระปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ

๓. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม

๓.๑ เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการประสานงานโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร
๓.๒ เสนอมหาวิทยาลัยแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม
๓.๓ จัดอำนวยความสะดวก สนับสนุน แก้ปัญหา ประเมินผลโครงการเพื่อให้พระปฏิบัติหน้าที่การสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
๓.๔ แต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนประจำจังหวัดทั้ง ๒ จังหวัด
๓.๕ สำรวจข้อมูลพระสอนศีลธรรม คัดเลือกและแต่งตั้งพระตามจำนวนที่กำหนดในแต่ละจังหวัด
๓.๖ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน                           
๓.๗ จัดทำทะเบียนประวัติพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๓.๘ จัดทำบัตรประจำตัวพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๓.๙ จัดทำเกียรติบัตร การผ่านการอบรมของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๓.๑๐ จัดทำประกาศผลการคัดเลือก
๓.๑๑ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนเสนอต่อเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ (แล้วแต่กรณี)
๓.๑๒ จัดประชุมเตรียมความพร้อมของเพื่อการปฏิบัติงานในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพของพระร่วมกับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียน ครูพี่เลี้ยงในจังหวัด
๓.๑๓ ดำเนินการเบิก-จ่ายเงินอุดหนุนเป็นค่าตอบแทนพระสอนศีลธรรมในแต่ละเดือน
๓.๑๔  ของบประมาณอุดหนุนพระ วางแผนการใช้งบประมาณ และจัดสรรงบประมาณตามโครงการพระสอนศีลธรรม
๓.๑๕  ประสานงานและสนับสนุนทุกส่วนราชการในระดับท้องถิ่น เพื่อให้การดำเนินงานตามโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
๓.๑๖   สนับสนุน อำนวยความสะดวกแก่พระสอนศีลธรรมในการปฏิบัติหน้าที่การสอนในโรงเรียนตามความเหมาะสม
๓.๑๗ ประเมินโครงการพระสอนศีลธรรมก่อน ระหว่างและสิ้นสุดโครงการและรายงานผลการประเมินโครงการ
๓.๑๘ จัดทำรายงานผลการประเมินโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในภาพรวมของจังหวัดและเขต ทั้งก่อนดำเนินโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และหลังสิ้นสุดโครงการ จำนวน ๑ เล่ม นำเสนอต่อมหาวิทยาลัยและส่วนงานที่เกี่ยวข้อง
๓.๑๙ อื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย

๔. สำนักงานพุทธศาสนา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร

๔.๑ เป็นที่ปรึกษาแก่พระสอนศีลธรรมในดำเนินการจัดการเรียนการสอน และการนำหลักธรรม สาระการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริงในวิถีชีวิตของนักเรียน
๔.๒ ส่งเสริมสนับสนุน อำนวยความสะดวกแก่พระสอนศีลธรรมในการปฏิบัติหน้าที่การสอนในโรงเรียนตามความเหมาะสม
๕. ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา

๕.๑ ร่วมกับคณะกรรมการในการคัดเลือกพระสอนศีลธรรมและคัดเลือกสถานศึกษา
๕.๒ แจ้งสถานศึกษาให้เตรียมความพร้อมและสนับสนุนในการรับพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนทั้งด้านครูพี่เลี้ยงและอื่นๆ ตามเห็นสมควร
๕.๓ มอบหมายภารกิจให้ศึกษานิเทศก์เขตพื้นที่การศึกษาร่วมกับผู้รับผิดชอบในสังกัดสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน นิเทศการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรม และร่วมแก้ไขปัญหาตลอดจนพัฒนาศักยภาพพระสอนศีลธรรม

๖. ศึกษานิเทศก์เขตพื้นที่การศึกษา

๖.๑ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดและคณะสงฆ์  วางแผนการนิเทศการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรมในสถานศึกษา
๖.๒ นิเทศการเรียนการสอนพระสอนศีลธรรม ภาคการเรียนละ ๒ ครั้ง
๖.๓ ร่วมประชุมพระสอนศีลธรรมเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรม ภาคเรียนละ ๒ ครั้ง
๖.๔ ร่วมรายงานผลการนิเทศให้คณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนห้องเรียนสุราษฎร์ธานี และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ภาคเรียนละ ๑ ครั้ง
๖.๕ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัด ในการจัดประชุมสัมมนาเพื่อพัฒนาศักยภาพแก่พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
๖.๖ จัดทำรายงานผลการนิเทศเสนอต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา คณะกรรมการอำนวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนวิทยาเขต และคณะสงฆ์ เมื่อสิ้นภาคเรียน
๖.๗ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัด ประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรม และเสนอแนะการดำเนินงานตามโครงการ

๗. สถานศึกษาที่รับพระสอนศีลธรรม

๗.๑ อำนวยการความสะดวกแก่พระสอนศีลธรรมตามความเหมาะสม
๗.๒ จัดคาบการสอนให้พระสอนศีลธรรมตามความเหมาะสม
๗.๓ ปฐมนิเทศพระสอนศีลธรรมในเรื่องคาบการสอน การปฏิบัติการสอน ธุรการการสอนตลอดจนบทบาทพระสอนศีลธรรมในสถานศึกษา
๗.๔ จัดครูพี่เลี้ยงเพื่อช่วยเหลือพระสอนศีลธรรม ทั้งในด้านธุรการการสอน การปกครองชั้นเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
๗.๕ หากมีความเป็นไปได้ให้จัดห้องจริยธรรมให้พระสอนศีลธรรมได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้
๗.๖ อำนวยความสะดวกแก่ศึกษานิเทศก์เขตการศึกษา ในการนิเทศพระในสถานศึกษา
๗.๗ ร่วมกับศึกษานิเทศก์ ประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรม และเสนอแนะการดำเนินงานตามโครงการ
๗.๘ เมื่อพบปัญหาให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา และหรือรายงานให้เขตพื้นที่การศึกษาทราบเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา

๘. ครูพี่เลี้ยงในสถานศึกษา

๘.๑ ร่วมกับพระสอนศีลธรรมในการวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้
๘.๒ เป็นพี่เลี้ยงแก่พระสอนศีลธรรม เพื่อให้การนำหลักธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาสู่วิถีชีวิตของนักเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตามนโยบายของรัฐบาล
๘.๓ เป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือพระในด้านธุรการการสอน การปกครองชั้นเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลการเรียนตามสภาพจริง
๘.๔ ร่วมกับศึกษานิเทศก์ ประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของพระสอนศีลธรรม และเสนอแนะการดำเนินงานตามโครงการ
๘.๕ เมื่อพบปัญหาให้ดำเนินการแก้ไขปัญหา และหรือรายงานผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อร่วมแก้ไขปัญหา
                               
การนิเทศและการพัฒนาศักยภาพด้านการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

๑. การนิเทศการสอนของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน สถานศึกษาร่วมกับศึกษานิเทศก์เขตพื้นที่การศึกษา พระสงฆ์ในพื้นที่ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม  ร่วมกันวางแผนการนิเทศ โดย
๑.๑ นิเทศการสอน
- ศึกษานิเทศก์และพระสงฆ์ในเขตพื้นที่ นิเทศการสอนในสถานศึกษา ภาคการเรียนละ ๒ ครั้ง
- ครูพี่เลี้ยง/ผู้บริหารสถานศึกษา นิเทศการสอนในสถานศึกษา ภาคเรียนละ ๒ ครั้ง
- นิเทศการสอนโดยการจัดประชุมพระสอนศีลธรรม ภาคเรียนละ ๒ ครั้ง
- พระสอนศีลธรรม จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงาน เดือนละ ๑ ครั้ง    
๑.๒ ประชุมระหว่างผู้นิเทศและครูผู้สอนเพื่อปรับปรุง และพัฒนาการจัดการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในโรงเรียน ภาคเรียนละ  ๒  ครั้ง หรือตามความเหมาะสม
๑.๓ ศึกษานิเทศก์รายงานผลการนิเทศให้คณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนจังหวัดนั้นๆ ภาคเรียนละ  ๑ ครั้ง
๑.๔ คณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนแต่ละจังหวัด ประชุมเพื่อพิจารณาช่วยเหลือ สนับสนุน และหรือแก้ปัญหา แล้วรายงานผลให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม ภาคเรียนละ  ๑ ครั้ง
๑.๕ จัดทำรายงานผลการนิเทศเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม เมื่อสิ้นภาคการเรียน
๒. การพัฒนาศักยภาพด้านการสอนของพระ
คณะกรรมการอำนวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่  จัดประชุมสัมมนาเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนแก่พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน 

การประเมินโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

การประเมินผลโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน แบ่งเป็น ๓ ระยะ
ระยะที่ ๑ การประเมินก่อนการดำเนินโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความพร้อม การดำเนินงาน และจัดเตรียมการดำเนินงาน  โดยการศึกษารายงานผลการดำเนินงานเดิมสำรวจข้อมูลจากพระและสถานศึกษา
ระยะที่ ๒ การประเมินระหว่างการดำเนินโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุง แก้ไขและพัฒนาการดำเนินงาน โดย
(๑) ศึกษานิเทศก์เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ประเมินผลการดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่ เมื่อพบปัญหาให้หาทางแก้ไขปัญหา และ/ หรือรายงานต่อคณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนจังหวัดนั้นๆ เพื่อร่วมหาทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรายงานผลการประเมิน ภาคการเรียนละ ๑ ครั้ง
(๒) คณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนจังหวัดนั้นๆ ประเมินผลการดำเนินงานในภาพรวมของจังหวัด แล้วรายงานผลการประเมินและวิธีการแก้ไขปัญหา ตลอดจนการพัฒนาการดำเนินงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนให้ทางคณะสงฆ์ และคณะกรรมการอำนวยการส่งเสริมการปฏิบัติงานพระสอนศีลธรรมประจำจังหวัด ภาคการเรียนละ ๑ ครั้ง
ระยะที่ ๓ การประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามวัตถุประสงค์ ตัวชี้วัดความสำเร็จ ผลผลิตและผลลัพธ์ เปรียบเทียบกับความสมประโยชน์ของทางราชการ ดำเนินการดังนี้
(๑) คณะกรรมการอำนวยการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม จัดทำแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามวัตถุประสงค์ของการประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการ ส่งให้คณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนจังหวัดนั้นๆ กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการประเมิน
(๒) คณะกรรมการศูนย์ประสานงานพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนแต่ละจังหวัด นำแบบประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประเมินตามกลุ่มเป้าหมายในจังหวัด  วิเคราะห์ข้อมูล ประมวลผล จัดทำรายงานผลการประเมินโครงการ โดยสรุปเป็นภาพรวมของจังหวัดทั้งการประเมินก่อน ระหว่างและสิ้นสุดโครงการ จังหวัดละ ๑ เล่ม ส่งให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม และคณะสงฆ์ ตลอดจนเผยแพร่ผลการดำเนินงานแก่สาธารณชน
(๓) คณะกรรมการอำนวยการโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ส่วนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม จัดทำรายงานผลการประเมินโครงการ โดยสรุปในภาพรวมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม ทั้งการประเมินก่อนระหว่าง และสิ้นสุดโครงการ รายงานต่ออธิการบดี(โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มจร. ,๒๕๕๖.(ออนไลน์))

ดังนั้นโดยสรุปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลคาดหวังจากครูพระสอนศีลธรรม ก็คือ อบรมให้เด็กเป็นคนดีมีศีลธรรม และอบรมให้เด็กเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมของพระพุทธศาสนา มีเบญจศีลเบญจธรรม ซึ่งเป็นบทบาทและหน้าที่ของครูพระสอนศีลธรรมโดยภาพรวม ส่วนในการสอนให้รู้ (ปริยัติ) ทำให้ดู (ปฏิบัติ) และอยู่ให้เห็น (ปฏิเวธ) นั้น สอนให้รู้ ก็คือ การสอนปริยัติธรรม ซึ่งหมายถึง การเล่าเรียนศึกษาธรรมะ ให้รู้ถึงสมมุติ บัญญัติ สำหรับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องเรียน คือ เรียนให้รู้จักสมมุติบัญญัติที่เป็นภาษาธรรมะ เช่น คำว่า จิตภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา ขันธ์ ๕ นามรูป สมถะ วิปัสสนา ฯลฯ ฉะนั้นเสลาเราฟังธรรมะ เราจึงจะสามารถเข้าใจว่าคำที่ใช้ในธรรมะนั้นหมายถึงอะไร และสามารถพูดคุยในเรื่องของธรรมะได้รู้เรื่อง และสามารถนำมาปฏิบัติตามได้ ดังนั้นในขั้นตอนของการปริยัติธรรมนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีความสามารถแสวงหาได้มากเท่าได้สามารถจดจำได้มากเท่าใด ส่วนทำให้ดู ก็คือ เป็นผู้สงบสำรวม เป็นผู้ที่สุขุม รอบคอบ ใจเย็น เข้าใจเด็ก มีรู้เรื่องจิตวิทยาพัฒนาการในแต่ละวัย เด็กก็จะรักนับถือ พูดอะไรก็เชื่อ เช่น ทำเป็นแบบอย่างเหมือนท่านพระอัสสชิไป แล้วอุปติสสะเห็นว่าสงบเรียบร้อยสำรวมก็เลื่อมใส และอยู่ให้เห็น หมายถึง เป็นทัสสนานุตริยะ แปลว่า สิ่งที่เห็นอันประเสริฐ การเห็นอันประเสริฐ เช่น การเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นต้น(พระธรรมโกศาจารย์,อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.)

เอกสารและสิ่งอ้างอิง

โครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
,http://www.krupra.net/main.php?url=about/12/07/2556.(ออนไลน์)
งามพิศ  สัตย์สงวน. 2526. ประสบการณ์วิจัยทางมานุษยวิทยาข้ามวัฒนธรรม, พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประพันธ์ อำพันประสิทธิ์. 2529. จิตวิทยาสังคม. สงขลา : ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
พัทยา  สายหู. 2529. กลไกของสังคม, พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พระมหาวิเชียร ขันทองดี. 2547. บทบาทของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาชุมชน : ศึกษาเฉพาะกรณีพระ
ครูวิศาลเขมคุณ วัดพิชโสภาราม อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี,กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกริก.
พระธรรมโกศาจารย์,อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระสงฆ์กับภาระ
การสอนศีลธรรมในสังคมปัจจุบัน : ชุด...สาระนโยบายโครงการพระสอนศีลธรรมใน
โรงเรียน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระมหาปัญญา จอมนาสวน. 2549. ความคิดเห็นของผู้บริหาร ครู และนักเรียนเกี่ยวกับ
บทบาทที่เป็นจริงและบทบาทที่คาดหวังของครูพระสอนศีลธรรมในการพัฒนาจริยธรรม
สำหรับนักเรียนโรงเรียนในโครงการจริยศึกษา ศูนย์เผยแผ่ธรรม จังหวัดเชียงใหม่,
สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.
ราชบัณฑิตยสถาน. 2526. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525, กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
สำนักงานโครงการพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.คู่มือดำเนิน
การคัดเลือกพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน,งานมหกรรมส่งเสริมศีลธรรมและการประกวด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้านพระพุทธศาสนา ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖.(ออนไลน์)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กลุ่มงานศาสนา. 2543. บทบาทที่พึ่งประสงค์ของวัด
และพระสงฆ์กับการพัฒนาสังคมไทย. รายงานการเสวนา. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2550,
จาก http://www.onec.go.th/publication/4303003/index_de.pdf.(ออนไลน์)
สุพัตรา  สุภาพ. 2534. สังคมและวัฒนธรรมไทย : ค่านิยม ครอบครัว ศาสนา ประเพณี
พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช
สงวนศรี  วิรัชชัย. 2527. จิตวิทยาสังคมเพื่อการศึกษา, กรุงเทพ ฯ : ศึกษาพร.
อุทัย  หิรัญโต. 2519. สังคมวิทยาประยุกต์, กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.    

พระสอนศีลธรรมในโรงเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นักเรียนได้อะไรบ้างจากพระที่เข้าไปสอนในโรงเรียน