1.ความหมาย และความสำคัญของโครงงาน กลุ่มที่ 3 การงาน อาชีพและเทคโนโลยี
2.โครงงาน หมายถึง กิจกรรมการศึกษาวิชาการงานที่ส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนได้เลือกขึ้นมาศึกษา ค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานตามที่ตนเองมีความถนัด มีความพร้อมและสนใจ แล้วลงมือปฏิบัติให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยมีรายละเอียดของงานที่จะทำไว้ล่วงหน้า เป็นขั้นตอน พร้อมทั้งคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้โดยได้รับคำแนะนำปรึกษาจากครูในโรงเรียนของตน ความหมาย
3.ความสำคัญของโครงงานในแง่ของการเรียนการสอน และการจัดกิจกรรมเสริมตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2533 มีดังนี้คือ 1. ด้านนักเรียน 2. ด้านโรงเรียนและครูอาจารย์ 3. ด้านท้องถิ่น ความสำคัญของโครงงาน
4.1. ด้านนักเรียน ก่อให้เกิดคุณค่าต่าง ๆ ดังนี้คือ 1.1 ช่วยสร้างความหวังใหม่ในการริเริ่มงานที่จะนำไปสู่งานอาชีพ และการศึกษาต่อที่ตนเองมีความถนัด และสนใจ 1.2 สร้างเสริมประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง ด้วยชีวิตจริง ส่งผลให้เกิดความเข้าใจอย่างซาบซึ้งในโครงงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมา 1.3 ได้มีโอกาสทดสอบความถนัดของตนเอง และการแก้ปัญหาในงานที่ตนเองสนใจและมีความพร้อม ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินงานต่อไป 1.4 ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจที่ได้สร้างเกียรติประวัติในโครงงานที่ ได้ริเริ่มสร้างสรรค์ 1 . ด้านนักเรียน
5.1.5 ก่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีงามต่อกันในระหว่างเพื่อนนักเรียนที่ปฏิบัติงานเป็นกลุ่ม
1.6 ก่อให้เกิดความรู้ทางวิชาการที่กว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับความสำเร็จในการศึกษาตามหลักสูตรและตรงกับจุดหมายที่กำหนดไว้
1 . ด้านนักเรียน
6.2. ด้านโรงเรียนและครูอาจารย์ ก่อให้เกิดคุณค่าต่าง ๆ ดังนี้คือ
2.1 เกิดการประสานงานทางวิชาการที่ผสมผสานหรือบูรณาการเกิดขึ้นในโรงเรียน ตรงกับหลักสูตรมัธยมศึกษา และแนวทางการพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
2.2 เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่า การเรียนการสอนในปัจจุบันขึ้นอยู่กับการฝึกปฏิบัติจริงในโครงงานของนักเรียนมากกว่าที่จะเรียนอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น 2. ด้านโรงเรียนและครูอาจารย์
2.3 เกิดศูนย์รวมสื่อการเรียนการสอน หรือศูนย์วัสดุอุปกรณ์การสอน สำหรับให้หมวดวิชาต่าง ๆ ในโรงเรียนได้ใช้ร่วมกัน ส่งผลให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึกใช้สื่อการสอนอย่างแท้จริงและหลากหลาย 2.4 เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างของนักเรียน โรงเรียน และครูอาจารย์ที่มีโอกาสปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะช่องว่างที่ต่างกัน 2. ด้านโรงเรียนและครูอาจารย์
8.3. ด้านท้องถิ่น ก่อให้เกิดคุณค่าต่าง ๆ ดังนี้คือ
3.1 การเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความรู้ ผลงานในเชิงปฏิบัติของโครงงานที่ประสบความสำเร็จไปสู่ท้องถิ่น ทำให้ท้องถิ่นกับโรงเรียนมีความเข้าใจและประสานสัมพันธ์กันดียิ่ง
3.2 ช่วยลดปัญหาวัยรุ่นในท้องถิ่นเกี่ยวกับความประพฤติ จรรยามารยาท และศีลธรรม เพราะนักเรียนที่มีโครงงานมักจะเป็นนักเรียนที่มีความประพฤติดี มุ่งมั่นและสนใจการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น 3. ด้านท้องถิ่น
9.3.3 ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีพื้นฐานทางการศึกษาดี โดยเฉพาะงานอาชีพที่หลากหลายและการพัฒนาการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เยาวชนของชาติมีนิสัยรักการทำงาน ไม่เป็นคนหยิบโหย่งและช่วยเหลือพ่อแม่ผู้ปกครองด้วยดี 3. ด้านท้องถิ่น
krunangrong.ความหมายและความสำคัญของโครงงาน, http://www.slideshare.net/krunangrong/ss-3611273, 13 มิ.ย. 53,11.39 น. พระจิตติเทพ ฌานวโร
ผมลาสิกขามาได้สามปีแล้วครับ ศึกษาต่อ จบ ศศ.ม. ปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ครับผม Philosophy and religion From Kasetsart University, the bangkhen.
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553
โครงงาน คืออะไร
โครงงานเป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายๆสิ่งที่อยากรู้คำตอบให้ลึกซึ้ง
หรือเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน
มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรื่องนั้นๆ
การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การจัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้แก่เด็กเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริง เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ตรง เด็กจะได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหารู้จักรู้จักการทำงานอย่างมีระบบ รู้จักการวางแผนในการทำงาน ฝึกการคิดวิเคราะห์และเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
โครงงานจัดเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนรู้เรียนรู้ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นขั้นตอนและใช้ความรู้ที่ตนเองได้มาบูรณาการ
ประเภทโครงงาน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
๑. โครงงานตามสาระการเรียนรู้ เป็นการใช้บูรณาการร่วมกับการเรียนรู้ ทักษะและเป็นพื้นฐานในการกำหนดโครงงานและปฏิบัติ
๒. โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานที่ผู้เรียนกำหนดขั้นตอน ความถนัด ความสนใจ ความต้องการ โดยใช้ทักษะความรู้ จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆมาบูรณาการเป็นโครงงานและปฏิบัติ
สามารถแบ่งได้ ๔ รูปแบบ ตามวัตถุประสงค์
1. โครงงานที่เป็นการสำรวจ รวบรวมข้อมูล
2. โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง
3. โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ
4. โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น
• โครงงานที่เป็นการสำรวจ รวบรวมข้อมูล
โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนำข้อมูล นั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่ ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก เป็นต้น
• โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยออกแบบในรูปผลการทดลอง เพื่อศึกษาตัวแปรหนึ่ง จะมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาอย่างไร ด้วยการควบคุมตัวแปร
• โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้ หรือหลักการใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีใครเคยคิดหรือขัดแย้ง หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการก่อน
• โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ คือ การนำความรู้ทฤษฎี หลักการ มาประยุกต์ใช้ โดยประดิษฐ์เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่างๆ หรืออาจเป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงของเดิมให้ดีขึ้นก็ได้
ขั้นตอนการทำโครงงาน
ขั้นตอนที่ ๑ การคิดและเลือกหัวเรื่อง เป็นการหาหัวข้อในการทดลอง ในการที่จะอยากรู้อยากเห็น
ขั้นตอนที่ ๒ การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการขอคำปรึกษา หรือข้อมูลต่างๆจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ ๓ การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยทั่วไปเค้าโครงของโครงงานจะมีหัวข้อดังต่อไปนี้
หัวข้อ/รายการ
รายละเอียดที่ต้องระบุ
1.ชื่อโครงงาน 2.ชื่อผู้ทำโครงงาน 3.ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4.ระยะเวลาดำเนินการ 5.หลักการและเหตุผล 6.จุดหมาย/วัตถุประสงค์ 7.สมมติฐานของการศึกษาโครงงาน 8.ขั้นตอนการดำเนินงาน 9.ปฏิบัติโครงงาน 10. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 11. บรรณานุกรม
1. ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร 2. ผู้รับผิดชอบโครงงานนี้ 3. ผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ 4. ระยะเวลาดำเนินงานโครงงานตั้งแต่ต้นจนจบ 5. เหตุผลและความคาดหวัง 6. สิ่งที่ต้องการให้เกิดเมื่อสิ้นสุดการทำโครงงาน 7. สิ่งที่คาดว่าจะเกิดเมื่อสิ้นสุดการทำโครงงาน 8. ขั้นตอนการทำงาน เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ สถานที่ 9. วัน เวลา และกิจกรรมดำเนินงานต่างๆตั้งแต่ต้นจนเสร็จ 10. สภาพของผลที่ต้องการให้เกิดทั้งที่เป็นผลผลิต กระบวนการ และผลกระทบ 11. ชื่อเอกสารข้อมูล ที่ได้จากแหล่งต่างๆ
ขั้นตอนที่ ๔ การปฏิบัติโครงงาน เป็นการดำเนินงานตามแผน ที่ได้กำหนดไว้ในเค้าโครงของโครงงาน และต้องมีการจดบันทึกข้อมูลต่างๆได้อย่างละเอียด และต้องจัดทำอย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้อมูลต่อไป
ขั้นตอนที่ ๕ การเขียนรายงาน ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน และครอบคลุมประเด็นสำคัญของโครงงาน โดยสามารถเขียนให้อยู่ในรูปต่างๆ เช่น การสรุป รายงานผล ซึ่งประกอบไปด้วยหัวข้อต่างๆ เช่น บทคัดย่อ บทนำ เอกสารที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ขั้นตอนที่ ๖ การแสดงผล การแสดงผลงาน เป็นการนำเสนอผลงาน สามารถจัดได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ หรือทำเป็นสิ่งตีพิมพ์ การสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน ตามแต่ความเหมาะสมของโครงงาน
ตัวอย่างเค้าโครงงาน
ชื่อโครงงาน.....................................................................................................
คณะทำงาน.....................................................................................................
อาจารย์ที่ปรึกษา.................................................................................................
1) แนวคิดที่มาและความสำคัญที่ต้องการศึกษา.....................................................
..........2) หลักการทฤษฎี หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ( ว่ามีใครทำอะไรไว้บ้าง)...............................
..........3) จุดมุ่งหมายของการทดลอง........................................................................
..........4) สมมุติฐานที่กำหนด..............................................................................
..........5). วิธีดำเนินการทดลอง..............................................................................
..........6) งบประมาณที่ใช้ในการทดลอง..................................................................
..........7. ประโยชน์ที่จะได้รับ..................................................................................
8.) ชื่อเอกสารอ้างอิง...................................................................................
ตัวอย่างโครงงานการศึกษาเรื่องการบานของดอกบัว
. 1. แนวคิด ที่มา และความสำคัญที่ต้องศึกษา ..............การกำหนดปัญหาในการจัดทำโครงงานเกิดจากการสังเกตที่นำไปสู่การแก้ปัญหาเช้น สังเกตว่า ดอกบัวจะบานตอนเช้า ประมาณ 14.00 น. ดอกบัวจะหุบ ( การสังเกต ) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ( ปัญหา )
..........2. หลักการ ทฤษฎี เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ( ว่ามีใครทำอะไรไว้บ้าง ) ...............ศึกษาค้นคว้าเอกสารความรู้ บทความ ทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
..........3. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้าและการทดลอง ...............เป็นการตั้งข้อคิดเพื่อที่จะหาคำตอบที่เกิดจากปัญหา ( การบานและการหุบของดอกบัวในเวลาที่
แตกต่างกัน ) ว่าเกิดจากอะไรโดยคิดคำตอบไว้หลายๆทางเช่นคิดว่า * ดอกบัวบานเช้า เนื่องจากอุณหภูมิตอนเช้าเหมาะสมต่อการบานของดอกบัว * ดอกบัวบานตอนเช้า เนื่องจากความเข้มของแสงช่วงเช้าน้อยกว่ช่วงบ่าย * ดอกบัวตอนเช้า เนื่องจากเป็นพฤติกรรมอันเนื่องมาจากพันธุกรรมของดอกบัวซึ่งมีมาตั้งแต่กำเนิด จากตั้งสมมุติฐานไว้ 3 ประเด็น นักเรียนจะมีการตรวจสอบสมมุติฐานว่าสมมุติฐานใดน่าจะเป็นไปได้ ก็เลือกมา 1 สมมุติฐาน แต่ถ้าจะมีการพิสูจน์ว่าสมมุติฐานใดน่าจะเป็นไปได้มากหรือเป็นจริง ก็ต้องดำเนินการทดลองค้นคว้าต่อไป( ถามกับตอบของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ )
..........4. วิธีดำเนินการทดลอง ...............วิธีการดำเนินการทดลองเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบสมมุติฐานว่าสิ่งที่กำหนดไว้เป็นจริงหรือไม่ เช่น กำหนดสมมุติฐานไว้ว่า ดอกบัวบานช่วงเช้าน่าจะเกิดจากการเหมาะสมของความเข้มของแสง นักเรียนต้องดำเนินการทดลองต่อไปนี้
..........1) ออกแบบวิธีการทดลอง โดยกำหนดตัวแปรต่างๆ มี 3 ประเภท คือ
ตัวแปรต้น คือ สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลต่างๆ หรือสิ่งที่เราต้องการทดลองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ จากสมมุติฐานที่กำหนด ตัวแปรนี้คือ ความเข้มของแสงนั่นเอง
ตัวแปรตาม คือ สิ่งที่เป็นผล เนื่องจากตัวแปรต้น ในที่นี้คือ การบานของดอกบัว
ตัวแปรควบคุม คือ สิ่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่มีผลต่อการทดลองเราไม่ต้องการศึกษา จึงต้องหาวิธีการควบคุมไว้ เพื่อไม่ให้มีข้อขัดแย้งของการทดลอง เช่น ชนิดของดอกบัว จำนวนต้นที่นำมาทดลอง อุณหภูมิต่างๆ เป็นต้น
..........2) จัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ทดลอง โดยให้ผู้ทดลองกำหนดว่า หากจะทดลองแล้วจะใช้วัสดุอะไรบ้าง เช่น ต้นของดอกบัว กล่องกระดาษ โคมไฟที่มีหลอดไฟกำลังวัตต์ต่างๆ กันนำมาใช้ทดลอง
..........3) บันทึกข้อมูล โดยกำหนดเป็นตารางบันทึกผล และในตารางนั้นจะบันทึกอะไรบ้าง เช่น บันทึกระยะเวลาที่เริ่มบาน บันทึกความเข้มของแสงต่างๆ บันทึกสิ่งที่สังเกตได้จากการทดลอง เป็นต้น
..........4) กำหนดระยะเวลาการทดลอง ว่าจะทดลองในช่วงเวลาใดบ้าง จะสังเกตผลการทดลองอย่างไร เวลาใด และจะทำการทดลองให้เสร็จสิ้นช่วงเวลาใด และสรุปผลทดลองช่วงไหน
..........5) ลงมือทำการทดลอง นักเรียนเริ่มปฏิบัติทำการทดลอง ให้เป็นไปตามกำหนดเวลา
..........5. การสรุปผลการทดลอง ..........นำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นไปได้ว่าตรงกับสมมุติฐานที่กำหนดไว้หรือไม่จากนั้นจึงนำมาจัดทำเป็นรายงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อจะให้ได้ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
..........ข้อจำกัด
..........การจัดทำโครงงานจะประสบความสำเร็จได้ มีข้อจำกัดดังนี้
..........1. การจัดโครงงานต่างๆ ทั้งครูผู้สอนและเด็กจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ทำค่อนข้างมาก ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเอกสาร ความรู้ต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนระหว่างทำการทดลอง
..........2. เรื่องที่ทำต้องเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว ผลที่ได้ควรเกิดประโยชน์แก่ตัวนักเรียนหรือบุคคลในท้องถิ่น
..........3. เรื่องที่ทำต้องเหมาะสมกับวัยของเด็ก เด็กสามารถทดลองได้
..........4. การออกแบบทดลองจะต้องครอบคลุมจุดหมายที่กำหนดไว้
..........5.ระหว่างการทำโครงงานจะต้องมีการแก้ปัญหาเด็กจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องของกระบวนการแก้ปัญหาและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การสอนตามหลักการสอนแบบโครงการ
การสอนแบบโครงการ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึก ศึกษาลงไปในรายละเอียดของเรื่องนั้นๆ จนพบคำตอบที่ต้องการ เรื่องที่นักเรียนศึกษานั้นเป็นเรื่องที่นักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองตามความสนใจของตน ประเด็นที่ศึกษาก็เป็นประเด็นที่นักเรียนตั้งคำถามขึ้นมาเอง การศึกษาจะเป็นการศึกษาในลักษณะของการให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่ศึกษานั้น ในการศึกษาจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนานอย่างเพียงพอที่จะให้นักเรียนได้ค้นพบคำตอบ และคลี่คลายความสงสัยใคร่รู้ เมื่อนักเรียนค้นพบคำตอบที่เป็นความรู้ที่ต้องการแล้วจะนำความรู้นั้นมานำเสนอในรูปของงานที่นักเรียนเลือกเองอาจจะเป็นงานเขียน งานวาดภาพระบายสี การสร้างแบบจำลอง การเล่นสมมุติ ละคร การทำหนังสือ หรือรูปแบบอื่นๆเพื่อนำเสนอต่อเพื่อนๆและคนอื่นๆ อันจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกระบวนการศึกษาของตน
กระบวนการการเรียนการสอน
การสอนแบบโครงการเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก แต่ก็มีขั้นตอนในการสอนที่ชัดเจน ตลอดโครงการหนึ่งใดๆที่นักเรียนเลือกทำจะใช้เวลาในการทำโครงการ วันละ 50-70 นาที ตลอดโครงการบางทีอาจจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ หรือ 3 สัปดาห์ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน ขึ้นอยู่กับหัวข้อโครงการที่นักเรียนเลือกและขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่นักเรียนเลือกปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบและนำเสนอผลการศึกษาในครั้งนั้น ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามรูปแบบการสอนแบบโครงการมี 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
การวางแผนโครงการ
เป็นการเลือกหัวข้อโครงการโดยครูและนักเรียนร่วมกัน หัวข้อโครงการมาจากความสนใจของนักเรียนเป็นหลัก แต่ครูก็ต้องมีส่วนในการแนะนำการเลือกหัวข้อโครงการโดยครูพิจารณาเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อโครงการ ดังนี้
1. เป็นเรื่องที่มีอยู่จริงและเป็นไปได้ มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
2. เป็นเรื่องที่นักเรียนสนใจ
3. นักเรียนพอมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่บ้าง
4. เป็นเรื่องที่นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
5. มีแหล่งทรัพยากรในการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น
6. เป็นเรื่องที่เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมมือกันในการทำโครงการ
7. เป็นเรื่องที่เปิดโอกาสนักเรียนได้สร้างสิ่งต่างๆและมีโอกาสเล่นสมมุติ
8. นักเรียนได้พัฒนาการครบถ้วนทุกด้านตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
9. เป็นเรื่องที่นักเรียนสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการทำกิจกรรมอื่นๆ
10. เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ
11. เป็นเรื่องที่ไม่กว้างเกินไป จนทำให้ไม่สามารถศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดได้
ขั้นที่ 1 เริ่มต้นโครงการ
ขั้นนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนที่มีเกี่ยวกับหัวข้อของโครงการแล้วแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้นั้นแก่นักเรียนคนอื่นๆ และเป็นการสร้างความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับหัวข้อโครงการในรายละเอียดลึกลงไป
•ครูอภิปรายร่วมกับนักเรียนเกี่ยวกับหัวข้อโครงการและช่วยกระตุ้นให้นักเรียนนำเสนอความรู้และประ สบการณ์ เดิมของตน
•นักเรียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้เดิมเกี่ยวกับโครงการกับเพื่อนๆโดยการอภิปราย และนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ เช่นการวาดภาพระบายสี การทำงานศิลปะอื่นๆ การเขียน การทำแผนภูมิ
•ครูตรวจสอบและบันทึกความรู้ประสบการณ์ที่นักเรียนมีอยู่เดิม
•ครูช่วยนักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับหัวข้อของโครงการเพื่อทำการศึกษาอย่างลึกและละเอียดต่อไป
•ครูจดบันทึกคำพูด คำถามของนักเรียนแล้วเลือกนำมาจัดแสดงในห้องเรียนเพื่อช่วย ให้นักเรียนได้ตรวจสอบประเด็นคำถามที่นักเรียนต้องการศึกษา
ขั้นที่ 2 พัฒนาโครงการ
ในขั้นนี้นักเรียนจะได้ทำงานภายใต้การดูแลแนะนำของครู เป็นทั้งการทำงานเดี่ยว งานกลุ่มเล็กๆของคนที่มีความสนใจตรงกันหรือกลุ่มใหญ่ งานที่ทำเป็นการนำเสนอการเรียนรู้ที่เป็นผลของการศึกษาหาคำตอบตามคำถามในขั้นที่ 1 โดยแสดงออกในรูปของการสร้างสิ่งต่างๆ งานศิลปะ การเล่นสมมุติ และเป็นขั้นที่นักเรียนจะได้ออกไปศึกษาข้อเท็จจริงโดยการมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งนั้นๆ
•ครูดำเนินการให้นักเรียนได้ออกไปศึกษาจากแหล่งความรู้จริงๆ ให้มีโอกาสได้สัมผัสกับแหล่งความรู้ที่เป็นสิ่งของ สถานที่กระบวนการหรือบุคคลด้วยตนเอง ให้เกิดประสบการณ์ตรง
•นักเรียนเข้าไปสำรวจ สังเกตและสัมภาษณ์ อย่างใกล้ชิด
•ค้นหาคำตอบที่ต้องการ และตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นใหม่ให้ได้รายละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น
•ครูจัดเตรียมแหล่งความรู้ต่างๆสนับสนุน เช่น หนังสือ ของจริง หุ่นจำลองเพื่อที่นักเรียนจะได้ตรวจสอบความรู้ของตน และครูเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆสำหรับการออกไปแสวงหาความรู้ให้นักเรียน
•นักเรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้มานำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้างแบบจำลอง การวาดภาพระบายสี การทำแผนภูมิ การทำหนังสือ การเล่นสมมุติ
ขั้นที่ 3 รวบรวมสรุป
ขั้นนี้ครูจัดเตรียมสถานะการณ์เพื่อรวบรวมผลการศึกษาตามโครงการจัดนำเสนอแก่คนอื่นๆ เช่น นักเรียนในชั้นเรียนอื่นๆ บุคลากรในโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง
•ครูช่วยนักเรียนเลือกและจัดเตรียมผลงานที่จะนำเสนอ
•นักเรียนประเมินผลงานของตนเองและเลือกผลงานที่จะนำเสนอ
•ครูแนะนำให้นักเรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้นำเสนอในรูปแบบต่างๆเช่น งานศิลปะ การแสดงละคร เพลง แต่งเป็นนิทานหรือทำหนังสือ
•ครูอาจจะช่วยนักเรียนตั้งประเด็นความสนใจขึ้นใหม่สำหรับโครงการต่อไป กิจกรรมหลักของการสอนแบบโครงการ
แม้ว่าการสอนแบบโครงการจะมีลักษณะยืดหยุ่นสูงกิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสนใจของนักเรียน ครูเป็นผู้คอยสังเกตบันทึกความคิดและคำถามตามความสนใจของนักเรียนแล้วจัดกิจกรรมสนองตอบความต้องการเหล่านั้นก็ตาม แต่ก็ยังมีกิจกรรมหลักๆ ที่ใช้ในทุกขั้นของการสอนในแบบนี้ กิจกรรมหลักดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ใช้ในขั้นการสอนทั้ง 3 ขั้นตลอดโครงการ กิจกรรมดังกล่าวคือ
1. การอภิปราย ในเด็กเล็กๆระดับชั้นอนุบาลการอภิปรายในกลุ่มเล็กๆจะช่วย
นักเรียนให้ได้มีโอกาสสนทนากับครู ครูได้ตรวจสอบ บันทึกความรู้และความสนใจของนักเรียน และเป็นการช่วยพัฒนาความคิดของนักเรียน เมื่อนักเรียนมีโอกาสได้สนทนากับครูเกี่ยวกับหัวข้อของโครงการในกลุ่มเล็กๆก่อน จะเป็นการช่วยให้นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นในการอภิปรายกลุ่มใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น
2. การทัศนศึกษา ในที่นี้หมายถึงการที่นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทุกๆอย่าง ไม่ได้หมายความถึง การเดินทางออกไปศึกษายังสถานที่ต่างๆนอกโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง การได้พูดคุยสัมภาษณ์บุคคลต่างๆไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือคนอื่นๆ การสำรวจ สังเกตสิ่งต่างๆอย่างใกล้ชิดนอกห้องเรียนในบริเวณโรงเรียน หรือแม้กระทั่งการได้สังเกตการทำงานโครงการของเพื่อนร่วมชั้นอย่างใกล้ชิด การทัศนศึกษาจะทำให้นักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อเขามีโอกาส ได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัส ได้ดมกลิ่น ชิมรส สิ่งที่เป็นจริงที่เขาสนใจ ในเด็กเล็กๆ การทัศนศึกษาควรอยู่ในละแวกใกล้ๆโรงเรียน ไม่ควรต้องใช้เวลาในการเดินทางมากจนเกินไป ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นข้อพึงพิจารณาของครูในการเลือกหัวข้อของโครงการด้วย
3. กิจกรรมการนำเสนอ เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำเสนอความรู้ ทั้งที่เป็นความรู้เดิมก่อนการเริ่มโครงการ หรือความรู้ที่ได้จากการทำโครงการ ซึ่งเป็นการย้อนกลับไปคิดและรวบรวมความรู้และความคิดที่เขามีอยู่อันจะนำไปสู่การตั้งข้อคำถามที่จะทำการค้นหาคำตอบต่อไป วิธีการที่จะนำเสนอในเด็กเล็กๆจะออกมาในรูปของการวาดภาพระบายสี การเขียนโดยการช่วยเหลือของครู การเล่นสมมุติ การสร้างของจำลอง การทำแผนภูมิ
4. กิจกรรมการศึกษาค้นคว้า นักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของคำถามที่เขาสนใจได้จากแหล่งความรู้หลากหลาย ไม่ว่าจะจากบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือหนังสือ ด้วยการสัมภาษณ์ หรือสังเกตอย่างใกล้ชิด การสัมผัสจับต้อง การบันทึกรวบรวม
5. การจัดแสดง เป็นงานนำผลงานของนักเรียนที่เกิดขึ้นในกระบวนการของโครงการตั้งแต่ขั้นที่ 1 เริ่มต้นโครงการ มาจัดแสดงในห้องเรียน ในรูปของการติดบนป้ายนิเทศ บนผนังห้องเรียน ในกรณีที่เป็นภาพวาด งานเขียน ภาพถ่าย หรือจัดแสดงบนโต๊ะหรือมุมใดมุมหนึ่งของห้องเรียน การจัดแสดงผลงานจะเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างนักเรียนกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องเรียน เป็นการแสดงให้เห็นความก้าวหน้าในการทำโครงการของนักเรียน เป็นการย้ำนักเรียนให้เห็นถึงประเด็นที่นักเรียนกำลังศึกษา และยังเป็นการแสดงให้บุคคลภายนอกเห็นถึงเรื่องราวของโครงการที่นักเรียนศึกษา
เว็บไซด์: โครงงาน คือ อะไร,http://www.samkha.com/pdf/8.pdf,13 มิ.ย. 53,11.23 น. พระจิตติเทพ ฌานวโร
หรือเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน
มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรื่องนั้นๆ
การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การจัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้แก่เด็กเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริง เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ตรง เด็กจะได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหารู้จักรู้จักการทำงานอย่างมีระบบ รู้จักการวางแผนในการทำงาน ฝึกการคิดวิเคราะห์และเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
โครงงานจัดเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนรู้เรียนรู้ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นขั้นตอนและใช้ความรู้ที่ตนเองได้มาบูรณาการ
ประเภทโครงงาน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
๑. โครงงานตามสาระการเรียนรู้ เป็นการใช้บูรณาการร่วมกับการเรียนรู้ ทักษะและเป็นพื้นฐานในการกำหนดโครงงานและปฏิบัติ
๒. โครงงานตามความสนใจ เป็นโครงงานที่ผู้เรียนกำหนดขั้นตอน ความถนัด ความสนใจ ความต้องการ โดยใช้ทักษะความรู้ จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆมาบูรณาการเป็นโครงงานและปฏิบัติ
สามารถแบ่งได้ ๔ รูปแบบ ตามวัตถุประสงค์
1. โครงงานที่เป็นการสำรวจ รวบรวมข้อมูล
2. โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง
3. โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ
4. โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น
• โครงงานที่เป็นการสำรวจ รวบรวมข้อมูล
โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนำข้อมูล นั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่ ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก เป็นต้น
• โครงงานที่เป็นการค้นคว้า ทดลอง
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยออกแบบในรูปผลการทดลอง เพื่อศึกษาตัวแปรหนึ่ง จะมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาอย่างไร ด้วยการควบคุมตัวแปร
• โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้ หรือหลักการใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีใครเคยคิดหรือขัดแย้ง หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการก่อน
• โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ คือ การนำความรู้ทฤษฎี หลักการ มาประยุกต์ใช้ โดยประดิษฐ์เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่างๆ หรืออาจเป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงของเดิมให้ดีขึ้นก็ได้
ขั้นตอนการทำโครงงาน
ขั้นตอนที่ ๑ การคิดและเลือกหัวเรื่อง เป็นการหาหัวข้อในการทดลอง ในการที่จะอยากรู้อยากเห็น
ขั้นตอนที่ ๒ การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการขอคำปรึกษา หรือข้อมูลต่างๆจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง
ขั้นตอนที่ ๓ การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยทั่วไปเค้าโครงของโครงงานจะมีหัวข้อดังต่อไปนี้
หัวข้อ/รายการ
รายละเอียดที่ต้องระบุ
1.ชื่อโครงงาน 2.ชื่อผู้ทำโครงงาน 3.ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4.ระยะเวลาดำเนินการ 5.หลักการและเหตุผล 6.จุดหมาย/วัตถุประสงค์ 7.สมมติฐานของการศึกษาโครงงาน 8.ขั้นตอนการดำเนินงาน 9.ปฏิบัติโครงงาน 10. ผลที่คาดว่าจะได้รับ 11. บรรณานุกรม
1. ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร 2. ผู้รับผิดชอบโครงงานนี้ 3. ผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ 4. ระยะเวลาดำเนินงานโครงงานตั้งแต่ต้นจนจบ 5. เหตุผลและความคาดหวัง 6. สิ่งที่ต้องการให้เกิดเมื่อสิ้นสุดการทำโครงงาน 7. สิ่งที่คาดว่าจะเกิดเมื่อสิ้นสุดการทำโครงงาน 8. ขั้นตอนการทำงาน เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ สถานที่ 9. วัน เวลา และกิจกรรมดำเนินงานต่างๆตั้งแต่ต้นจนเสร็จ 10. สภาพของผลที่ต้องการให้เกิดทั้งที่เป็นผลผลิต กระบวนการ และผลกระทบ 11. ชื่อเอกสารข้อมูล ที่ได้จากแหล่งต่างๆ
ขั้นตอนที่ ๔ การปฏิบัติโครงงาน เป็นการดำเนินงานตามแผน ที่ได้กำหนดไว้ในเค้าโครงของโครงงาน และต้องมีการจดบันทึกข้อมูลต่างๆได้อย่างละเอียด และต้องจัดทำอย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้อมูลต่อไป
ขั้นตอนที่ ๕ การเขียนรายงาน ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน และครอบคลุมประเด็นสำคัญของโครงงาน โดยสามารถเขียนให้อยู่ในรูปต่างๆ เช่น การสรุป รายงานผล ซึ่งประกอบไปด้วยหัวข้อต่างๆ เช่น บทคัดย่อ บทนำ เอกสารที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ขั้นตอนที่ ๖ การแสดงผล การแสดงผลงาน เป็นการนำเสนอผลงาน สามารถจัดได้หลายรูปแบบ เช่น การจัดนิทรรศการ หรือทำเป็นสิ่งตีพิมพ์ การสอนแบบเพื่อนสอนเพื่อน ตามแต่ความเหมาะสมของโครงงาน
ตัวอย่างเค้าโครงงาน
ชื่อโครงงาน.....................................................................................................
คณะทำงาน.....................................................................................................
อาจารย์ที่ปรึกษา.................................................................................................
1) แนวคิดที่มาและความสำคัญที่ต้องการศึกษา.....................................................
..........2) หลักการทฤษฎี หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ( ว่ามีใครทำอะไรไว้บ้าง)...............................
..........3) จุดมุ่งหมายของการทดลอง........................................................................
..........4) สมมุติฐานที่กำหนด..............................................................................
..........5). วิธีดำเนินการทดลอง..............................................................................
..........6) งบประมาณที่ใช้ในการทดลอง..................................................................
..........7. ประโยชน์ที่จะได้รับ..................................................................................
8.) ชื่อเอกสารอ้างอิง...................................................................................
ตัวอย่างโครงงานการศึกษาเรื่องการบานของดอกบัว
. 1. แนวคิด ที่มา และความสำคัญที่ต้องศึกษา ..............การกำหนดปัญหาในการจัดทำโครงงานเกิดจากการสังเกตที่นำไปสู่การแก้ปัญหาเช้น สังเกตว่า ดอกบัวจะบานตอนเช้า ประมาณ 14.00 น. ดอกบัวจะหุบ ( การสังเกต ) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ( ปัญหา )
..........2. หลักการ ทฤษฎี เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ( ว่ามีใครทำอะไรไว้บ้าง ) ...............ศึกษาค้นคว้าเอกสารความรู้ บทความ ทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องที่เกี่ยวข้อง
..........3. จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้าและการทดลอง ...............เป็นการตั้งข้อคิดเพื่อที่จะหาคำตอบที่เกิดจากปัญหา ( การบานและการหุบของดอกบัวในเวลาที่
แตกต่างกัน ) ว่าเกิดจากอะไรโดยคิดคำตอบไว้หลายๆทางเช่นคิดว่า * ดอกบัวบานเช้า เนื่องจากอุณหภูมิตอนเช้าเหมาะสมต่อการบานของดอกบัว * ดอกบัวบานตอนเช้า เนื่องจากความเข้มของแสงช่วงเช้าน้อยกว่ช่วงบ่าย * ดอกบัวตอนเช้า เนื่องจากเป็นพฤติกรรมอันเนื่องมาจากพันธุกรรมของดอกบัวซึ่งมีมาตั้งแต่กำเนิด จากตั้งสมมุติฐานไว้ 3 ประเด็น นักเรียนจะมีการตรวจสอบสมมุติฐานว่าสมมุติฐานใดน่าจะเป็นไปได้ ก็เลือกมา 1 สมมุติฐาน แต่ถ้าจะมีการพิสูจน์ว่าสมมุติฐานใดน่าจะเป็นไปได้มากหรือเป็นจริง ก็ต้องดำเนินการทดลองค้นคว้าต่อไป( ถามกับตอบของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ )
..........4. วิธีดำเนินการทดลอง ...............วิธีการดำเนินการทดลองเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบสมมุติฐานว่าสิ่งที่กำหนดไว้เป็นจริงหรือไม่ เช่น กำหนดสมมุติฐานไว้ว่า ดอกบัวบานช่วงเช้าน่าจะเกิดจากการเหมาะสมของความเข้มของแสง นักเรียนต้องดำเนินการทดลองต่อไปนี้
..........1) ออกแบบวิธีการทดลอง โดยกำหนดตัวแปรต่างๆ มี 3 ประเภท คือ
ตัวแปรต้น คือ สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลต่างๆ หรือสิ่งที่เราต้องการทดลองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ จากสมมุติฐานที่กำหนด ตัวแปรนี้คือ ความเข้มของแสงนั่นเอง
ตัวแปรตาม คือ สิ่งที่เป็นผล เนื่องจากตัวแปรต้น ในที่นี้คือ การบานของดอกบัว
ตัวแปรควบคุม คือ สิ่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่มีผลต่อการทดลองเราไม่ต้องการศึกษา จึงต้องหาวิธีการควบคุมไว้ เพื่อไม่ให้มีข้อขัดแย้งของการทดลอง เช่น ชนิดของดอกบัว จำนวนต้นที่นำมาทดลอง อุณหภูมิต่างๆ เป็นต้น
..........2) จัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ทดลอง โดยให้ผู้ทดลองกำหนดว่า หากจะทดลองแล้วจะใช้วัสดุอะไรบ้าง เช่น ต้นของดอกบัว กล่องกระดาษ โคมไฟที่มีหลอดไฟกำลังวัตต์ต่างๆ กันนำมาใช้ทดลอง
..........3) บันทึกข้อมูล โดยกำหนดเป็นตารางบันทึกผล และในตารางนั้นจะบันทึกอะไรบ้าง เช่น บันทึกระยะเวลาที่เริ่มบาน บันทึกความเข้มของแสงต่างๆ บันทึกสิ่งที่สังเกตได้จากการทดลอง เป็นต้น
..........4) กำหนดระยะเวลาการทดลอง ว่าจะทดลองในช่วงเวลาใดบ้าง จะสังเกตผลการทดลองอย่างไร เวลาใด และจะทำการทดลองให้เสร็จสิ้นช่วงเวลาใด และสรุปผลทดลองช่วงไหน
..........5) ลงมือทำการทดลอง นักเรียนเริ่มปฏิบัติทำการทดลอง ให้เป็นไปตามกำหนดเวลา
..........5. การสรุปผลการทดลอง ..........นำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นไปได้ว่าตรงกับสมมุติฐานที่กำหนดไว้หรือไม่จากนั้นจึงนำมาจัดทำเป็นรายงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อจะให้ได้ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
..........ข้อจำกัด
..........การจัดทำโครงงานจะประสบความสำเร็จได้ มีข้อจำกัดดังนี้
..........1. การจัดโครงงานต่างๆ ทั้งครูผู้สอนและเด็กจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ทำค่อนข้างมาก ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเอกสาร ความรู้ต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนระหว่างทำการทดลอง
..........2. เรื่องที่ทำต้องเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว ผลที่ได้ควรเกิดประโยชน์แก่ตัวนักเรียนหรือบุคคลในท้องถิ่น
..........3. เรื่องที่ทำต้องเหมาะสมกับวัยของเด็ก เด็กสามารถทดลองได้
..........4. การออกแบบทดลองจะต้องครอบคลุมจุดหมายที่กำหนดไว้
..........5.ระหว่างการทำโครงงานจะต้องมีการแก้ปัญหาเด็กจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องของกระบวนการแก้ปัญหาและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การสอนตามหลักการสอนแบบโครงการ
การสอนแบบโครงการ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึก ศึกษาลงไปในรายละเอียดของเรื่องนั้นๆ จนพบคำตอบที่ต้องการ เรื่องที่นักเรียนศึกษานั้นเป็นเรื่องที่นักเรียนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองตามความสนใจของตน ประเด็นที่ศึกษาก็เป็นประเด็นที่นักเรียนตั้งคำถามขึ้นมาเอง การศึกษาจะเป็นการศึกษาในลักษณะของการให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่ศึกษานั้น ในการศึกษาจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนานอย่างเพียงพอที่จะให้นักเรียนได้ค้นพบคำตอบ และคลี่คลายความสงสัยใคร่รู้ เมื่อนักเรียนค้นพบคำตอบที่เป็นความรู้ที่ต้องการแล้วจะนำความรู้นั้นมานำเสนอในรูปของงานที่นักเรียนเลือกเองอาจจะเป็นงานเขียน งานวาดภาพระบายสี การสร้างแบบจำลอง การเล่นสมมุติ ละคร การทำหนังสือ หรือรูปแบบอื่นๆเพื่อนำเสนอต่อเพื่อนๆและคนอื่นๆ อันจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกระบวนการศึกษาของตน
กระบวนการการเรียนการสอน
การสอนแบบโครงการเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก แต่ก็มีขั้นตอนในการสอนที่ชัดเจน ตลอดโครงการหนึ่งใดๆที่นักเรียนเลือกทำจะใช้เวลาในการทำโครงการ วันละ 50-70 นาที ตลอดโครงการบางทีอาจจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ หรือ 3 สัปดาห์ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน ขึ้นอยู่กับหัวข้อโครงการที่นักเรียนเลือกและขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่นักเรียนเลือกปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบและนำเสนอผลการศึกษาในครั้งนั้น ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามรูปแบบการสอนแบบโครงการมี 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
การวางแผนโครงการ
เป็นการเลือกหัวข้อโครงการโดยครูและนักเรียนร่วมกัน หัวข้อโครงการมาจากความสนใจของนักเรียนเป็นหลัก แต่ครูก็ต้องมีส่วนในการแนะนำการเลือกหัวข้อโครงการโดยครูพิจารณาเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อโครงการ ดังนี้
1. เป็นเรื่องที่มีอยู่จริงและเป็นไปได้ มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
2. เป็นเรื่องที่นักเรียนสนใจ
3. นักเรียนพอมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่บ้าง
4. เป็นเรื่องที่นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
5. มีแหล่งทรัพยากรในการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น
6. เป็นเรื่องที่เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมมือกันในการทำโครงการ
7. เป็นเรื่องที่เปิดโอกาสนักเรียนได้สร้างสิ่งต่างๆและมีโอกาสเล่นสมมุติ
8. นักเรียนได้พัฒนาการครบถ้วนทุกด้านตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
9. เป็นเรื่องที่นักเรียนสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการทำกิจกรรมอื่นๆ
10. เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ
11. เป็นเรื่องที่ไม่กว้างเกินไป จนทำให้ไม่สามารถศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดได้
ขั้นที่ 1 เริ่มต้นโครงการ
ขั้นนี้เป็นการทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนที่มีเกี่ยวกับหัวข้อของโครงการแล้วแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้นั้นแก่นักเรียนคนอื่นๆ และเป็นการสร้างความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับหัวข้อโครงการในรายละเอียดลึกลงไป
•ครูอภิปรายร่วมกับนักเรียนเกี่ยวกับหัวข้อโครงการและช่วยกระตุ้นให้นักเรียนนำเสนอความรู้และประ สบการณ์ เดิมของตน
•นักเรียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้เดิมเกี่ยวกับโครงการกับเพื่อนๆโดยการอภิปราย และนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ เช่นการวาดภาพระบายสี การทำงานศิลปะอื่นๆ การเขียน การทำแผนภูมิ
•ครูตรวจสอบและบันทึกความรู้ประสบการณ์ที่นักเรียนมีอยู่เดิม
•ครูช่วยนักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับหัวข้อของโครงการเพื่อทำการศึกษาอย่างลึกและละเอียดต่อไป
•ครูจดบันทึกคำพูด คำถามของนักเรียนแล้วเลือกนำมาจัดแสดงในห้องเรียนเพื่อช่วย ให้นักเรียนได้ตรวจสอบประเด็นคำถามที่นักเรียนต้องการศึกษา
ขั้นที่ 2 พัฒนาโครงการ
ในขั้นนี้นักเรียนจะได้ทำงานภายใต้การดูแลแนะนำของครู เป็นทั้งการทำงานเดี่ยว งานกลุ่มเล็กๆของคนที่มีความสนใจตรงกันหรือกลุ่มใหญ่ งานที่ทำเป็นการนำเสนอการเรียนรู้ที่เป็นผลของการศึกษาหาคำตอบตามคำถามในขั้นที่ 1 โดยแสดงออกในรูปของการสร้างสิ่งต่างๆ งานศิลปะ การเล่นสมมุติ และเป็นขั้นที่นักเรียนจะได้ออกไปศึกษาข้อเท็จจริงโดยการมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งนั้นๆ
•ครูดำเนินการให้นักเรียนได้ออกไปศึกษาจากแหล่งความรู้จริงๆ ให้มีโอกาสได้สัมผัสกับแหล่งความรู้ที่เป็นสิ่งของ สถานที่กระบวนการหรือบุคคลด้วยตนเอง ให้เกิดประสบการณ์ตรง
•นักเรียนเข้าไปสำรวจ สังเกตและสัมภาษณ์ อย่างใกล้ชิด
•ค้นหาคำตอบที่ต้องการ และตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นใหม่ให้ได้รายละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น
•ครูจัดเตรียมแหล่งความรู้ต่างๆสนับสนุน เช่น หนังสือ ของจริง หุ่นจำลองเพื่อที่นักเรียนจะได้ตรวจสอบความรู้ของตน และครูเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆสำหรับการออกไปแสวงหาความรู้ให้นักเรียน
•นักเรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้มานำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้างแบบจำลอง การวาดภาพระบายสี การทำแผนภูมิ การทำหนังสือ การเล่นสมมุติ
ขั้นที่ 3 รวบรวมสรุป
ขั้นนี้ครูจัดเตรียมสถานะการณ์เพื่อรวบรวมผลการศึกษาตามโครงการจัดนำเสนอแก่คนอื่นๆ เช่น นักเรียนในชั้นเรียนอื่นๆ บุคลากรในโรงเรียน ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง
•ครูช่วยนักเรียนเลือกและจัดเตรียมผลงานที่จะนำเสนอ
•นักเรียนประเมินผลงานของตนเองและเลือกผลงานที่จะนำเสนอ
•ครูแนะนำให้นักเรียนนำความรู้ใหม่ที่ได้นำเสนอในรูปแบบต่างๆเช่น งานศิลปะ การแสดงละคร เพลง แต่งเป็นนิทานหรือทำหนังสือ
•ครูอาจจะช่วยนักเรียนตั้งประเด็นความสนใจขึ้นใหม่สำหรับโครงการต่อไป กิจกรรมหลักของการสอนแบบโครงการ
แม้ว่าการสอนแบบโครงการจะมีลักษณะยืดหยุ่นสูงกิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสนใจของนักเรียน ครูเป็นผู้คอยสังเกตบันทึกความคิดและคำถามตามความสนใจของนักเรียนแล้วจัดกิจกรรมสนองตอบความต้องการเหล่านั้นก็ตาม แต่ก็ยังมีกิจกรรมหลักๆ ที่ใช้ในทุกขั้นของการสอนในแบบนี้ กิจกรรมหลักดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ใช้ในขั้นการสอนทั้ง 3 ขั้นตลอดโครงการ กิจกรรมดังกล่าวคือ
1. การอภิปราย ในเด็กเล็กๆระดับชั้นอนุบาลการอภิปรายในกลุ่มเล็กๆจะช่วย
นักเรียนให้ได้มีโอกาสสนทนากับครู ครูได้ตรวจสอบ บันทึกความรู้และความสนใจของนักเรียน และเป็นการช่วยพัฒนาความคิดของนักเรียน เมื่อนักเรียนมีโอกาสได้สนทนากับครูเกี่ยวกับหัวข้อของโครงการในกลุ่มเล็กๆก่อน จะเป็นการช่วยให้นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นในการอภิปรายกลุ่มใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น
2. การทัศนศึกษา ในที่นี้หมายถึงการที่นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทุกๆอย่าง ไม่ได้หมายความถึง การเดินทางออกไปศึกษายังสถานที่ต่างๆนอกโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง การได้พูดคุยสัมภาษณ์บุคคลต่างๆไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือคนอื่นๆ การสำรวจ สังเกตสิ่งต่างๆอย่างใกล้ชิดนอกห้องเรียนในบริเวณโรงเรียน หรือแม้กระทั่งการได้สังเกตการทำงานโครงการของเพื่อนร่วมชั้นอย่างใกล้ชิด การทัศนศึกษาจะทำให้นักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อเขามีโอกาส ได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัส ได้ดมกลิ่น ชิมรส สิ่งที่เป็นจริงที่เขาสนใจ ในเด็กเล็กๆ การทัศนศึกษาควรอยู่ในละแวกใกล้ๆโรงเรียน ไม่ควรต้องใช้เวลาในการเดินทางมากจนเกินไป ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นข้อพึงพิจารณาของครูในการเลือกหัวข้อของโครงการด้วย
3. กิจกรรมการนำเสนอ เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้นำเสนอความรู้ ทั้งที่เป็นความรู้เดิมก่อนการเริ่มโครงการ หรือความรู้ที่ได้จากการทำโครงการ ซึ่งเป็นการย้อนกลับไปคิดและรวบรวมความรู้และความคิดที่เขามีอยู่อันจะนำไปสู่การตั้งข้อคำถามที่จะทำการค้นหาคำตอบต่อไป วิธีการที่จะนำเสนอในเด็กเล็กๆจะออกมาในรูปของการวาดภาพระบายสี การเขียนโดยการช่วยเหลือของครู การเล่นสมมุติ การสร้างของจำลอง การทำแผนภูมิ
4. กิจกรรมการศึกษาค้นคว้า นักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของคำถามที่เขาสนใจได้จากแหล่งความรู้หลากหลาย ไม่ว่าจะจากบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือหนังสือ ด้วยการสัมภาษณ์ หรือสังเกตอย่างใกล้ชิด การสัมผัสจับต้อง การบันทึกรวบรวม
5. การจัดแสดง เป็นงานนำผลงานของนักเรียนที่เกิดขึ้นในกระบวนการของโครงการตั้งแต่ขั้นที่ 1 เริ่มต้นโครงการ มาจัดแสดงในห้องเรียน ในรูปของการติดบนป้ายนิเทศ บนผนังห้องเรียน ในกรณีที่เป็นภาพวาด งานเขียน ภาพถ่าย หรือจัดแสดงบนโต๊ะหรือมุมใดมุมหนึ่งของห้องเรียน การจัดแสดงผลงานจะเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างนักเรียนกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องเรียน เป็นการแสดงให้เห็นความก้าวหน้าในการทำโครงการของนักเรียน เป็นการย้ำนักเรียนให้เห็นถึงประเด็นที่นักเรียนกำลังศึกษา และยังเป็นการแสดงให้บุคคลภายนอกเห็นถึงเรื่องราวของโครงการที่นักเรียนศึกษา
เว็บไซด์: โครงงาน คือ อะไร,http://www.samkha.com/pdf/8.pdf,13 มิ.ย. 53,11.23 น. พระจิตติเทพ ฌานวโร
วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553
โครงการฝึกอบรมพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนและครูสอนพระพุทธศาสนา
กำหนดการอบรม
โครงการฝึกอบรมพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนและครูสอนพระพุทธศาสนา
"สื่อและเทคนิคการสอนศีลธรรมแก่เยาวชน"
มจร ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม (พระอารามหลวง)
ณ โรงแรมร้อยเกาะ ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฏร์ธานี
วันที่ 11 - 13 มิถุนายน 2553
-----------
โครงการฝึกอบรมพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนและครูสอนพระพุทธศาสนา
"สื่อและเทคนิคการสอนศีลธรรมแก่เยาวชน"
มจร ห้องเรียนสุราษฎร์ธานี วัดพัฒนาราม (พระอารามหลวง)
ณ โรงแรมร้อยเกาะ ถนนเลี่ยงเมือง ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฏร์ธานี
วันที่ 11 - 13 มิถุนายน 2553
-----------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)